Recent

Plateform : Micro:bit

ชุดบอร์ด micro:bit ชุดทดลองที่น้าสนใจ โดยเฉพาะเด็กๆ และผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมแบบ บล็อค ของเล่ยนมากมาย

อย่าหยุดที่จะเรียนรู้

ครูโป้ง ก็ไปเรียนเพิ่มได้ความรู้มาเพิ่มพูน ไม่หยุดนิ่ง ลงทุนบ้าง เสาะหาบ้าง

ชุด ioT กับ ESP8266

iot คือทุกอย่างสามารถเชิ่อมต่อบนโลกอินเตอร์เน็ต เชื่อมโลกได้ สั่งได้ทั่วโลก

วิ่งปรู๊ด ตามเส้นไป กับ Arduino

โครงงานรถยนต์กับ Aruino

AR vs VR

เชื่อมโลกเสมือนไปกับ AR และ VR

28 ธันวาคม 2559

ระบบปฏิบัติการ Windows

ข้อ 1.ระบบปฏิบัติการ Windows มีกี่ Version อะไรบ้าง

  Windows มีหลายรุ่นตั้งแต่ Windows 1.0 - Window10 ได้แก่ 
ก่อนจะเป็นระบบปฏิบัติการ Windows เป็นโปรแกรม Windows ในระบบปฏิบัติการ DOS มาก่อนได้แก่ 
  1. Windows 1.0 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 
  2. Windows 2.0 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1987  
  3. Windows 3.0 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1990 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของ Windows ที่ได้รับความนิยมมากกว่ารุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก รองรับ 16 สี อินเทอร์เฟซถูกพัฒนาให้มีสีสันดูน่าใช้งานมากกว่าเดิม และได้ออก Windows 3.1 ตามมาในปี 1992 
 และเริ่มนับเป็นระบบปฏิบัติการ Windows จริงๆจาก Windows 95 คือไม่อาศัย DOS ในการรันโปรแกรม
  1. Windows 95 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1995 ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดย Windows 95 รองรับสีแบบ 32 บิต และรองรับ Multitasking อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึั้นมา รวมทั้งการนำเสนอปุ่ม Start และ Taskbar เป็นครั้งแรก 
  2. Windows 98 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1998 เป็นรุ่นที่พัฒนามีให้เหมาะกับการใช้ทำงานและใช้เพื่อความบันเทิงในบ้าน อินเทอร์เฟซคล้ายกับ Windows 95 แต่มีสีสันมากกว่าเดิม พร้อมกับการมาครั้งแรกของแถบ Quick Launch สำหรับเปิดโปรแกรมอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเปิด Start Menu
  3.  Windows 2000 Professional วางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2000 เป็นรุ่นที่พัฒนามาด้วยโค้ดเคอร์เนลเดียวกับ Windows ตระกูล NT ออกแบบมาเพื่อใช้ในกลุ่มองค์กรหรือธุรกิจ มีการพัฒนาให้รองรับระบบเครือข่ายและมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น
  4.  Windows Me  วางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน 2000 ตัวย่อ Me ย่อมาจาก Millennium Edition เป็น Windows สำหรับใช้งานภายในบ้านรุ่นสุดท้ายที่จะใช้โค้ดเคอร์เนลแบบเดียวกับ Windows 95 และ 98 ในการพัฒนา มีการพัฒนาให้รองรับสื่อบันเทิงต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่า Windows 98
  5.  Windows XP วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2001 เป็น Windows รุ่นที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุด เนื่องจากอินเทอร์เฟซที่ถูกพัฒนาให้สวยงามกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างก้าวกระโดด ปุ่ม Start สีเขียว Taskbar สีฟ้าสดใส พร้อมทั้งระบบที่มีความเสถียรและปลอดภัย สามารถอัพเดทตัวเองได้ มีโปรแกรมรองรับมาก โดย Windows XP เป็นรุ่นที่แรกใช้โค้ดเคอร์เนลตระกูล NT พัฒนาออกมาทั้งรุ่น Home Edition สำหรับใช้ในบ้าน และ Professional สำหรับใช้ในธุรกิจ และออกเวอร์ชั่น 64 บิต ตามมาในปี 2005
  6.  Windows Vista วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2007 อินเทอร์เฟซที่ถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเน้นไปที่หน้าต่างแบบกึ่งโปร่งใส มองเห็นทะลุได้ ดูคล้ายกระจก ปุ่ม Start ถูกเป็นเปลี่ยนลูกแก้วโลโก้ Windows พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านรักษาความปลอดภัยมากกว่าเดิม แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับ Windows XP
  7. Windows 7 วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2009 ยังคงใช้อินเทอร์เฟซแบบกึ่งโปร่งใสคล้ายกับ Windows Vista รองรับการใช้งานแบบระบบสัมผัสหน้าจอ พร้อมทั้งการมาของ Taskbar รูปแบบใหม่ที่แสดงเป็นไอคอนโปรแกรมขนาดใหญ่กว่าเดิม สามารถปักหมุดโปรแกรมที่ใช้เป็นประจำไว้บน Taskbar ได้ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก และทำให้ผู้ใช้ Windows XP หลายคนตัดสินใจที่จะอัพเกรดมาใช้ Windows 7
  8. Windows 8  วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2012 มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อินเทอร์เฟซถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบเรียบสไตล์ Metro ปุ่ม Start และ Start Menu หายไป แทนที่ด้วย Start Screen แบบเต็มจอ การใช้งานถูกแบ่งออกเป็นโหมด Desktop ปกติเหมือน Windows รุ่นก่อน ๆ กับโหมด Metro สำหรับใช้งานแอพพลิเคชั่นบน Windows Store แบบเต็มจอ รองรับการใช้งานระบบสัมผัสเต็มรูปแบบ มีผู้ใช้จำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและเลือกที่จะใช้ Windows 7 ต่อไป โดยในปี 2013 ไมโครซอฟท์ได้ออก Windows 8.1 ที่นำปุ่ม Start กลับมา พร้อมทั้งปรับปรุงระบบอีกเล็กน้อย
  9.  Windows 10   เปิดตัวเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2014 เป็น Windows รุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางไมโครซอฟท์ได้ข้ามชื่อ Windows 9 ไป สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ อินเทอร์เฟซโดยรวมคล้ายกับ Windows 8 แต่โปรแกรมและแอพฯ ต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ทั้งโหมด Desktop และโหมด Tablet ไม่แยกออกจากกันเหมือน Windows 8 อีกแล้ว พร้อมทั้งการกลับมาของ Start Menu สำหรับการใช้งานแบบโหมด Desktop โดยจะวางจำหน่ายในปี 2015
 ที่มา : http://men.kapook.com/view100198.html

ข้อ 2.Windows7 แบ่งออก เป็นกี่รุ่น อะไรบ้าง

     Windows7 ที่ไช้ทั่วไปแบ่งออก เป็น 6 รุ่นได้แก่
  1. Windows 7 Starter:รันโปรแกรมได้พร้อมกันเพียง 3 โปรแกรม มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Home Group มีที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่าง Taskbar และ JumpLists 
  2. Windows 7 Home Basic:รันโปรแกรมได้พร้อมกันจำกัดจำนวน (ขึ้นอยู่กับทรัพยากรของระบบ) มีฟีเจอร์ Live thumbnail previews & enhanced visual experience มีฟีเจอร์การใช้งานระบบเครือข่ายขั้นสูงอย่าง Ad-hoc wireless networks Internet connection sharing และมีฟีเจอร์ Mobility Center 
  3. Windows 7 Home Premium: มีฟีเจอร์ Aero Glass & advanced windows navigation มีที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่าง Media format และ Handwriting recognition มีฟีเจอร์ Windows Media Center รวมถึง Play To และ Multi-touch 
  4. Windows 7 Professional (Business): รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมแบบโดเมน มีฟีเจอร์ Advanced network backup และ Encrypting File System และ Location Aware Printing 
  5. Windows 7 Enterprise และ Windows 7 Ultimate: มีฟีเจอร์ BitLocker ที่รองรับไดรว์ทั้งแบบ Internal และ External มีฟีเจอร์ DirectAccess และ BranchCache (ต้องใช้งานร่วมกับ Windows Server 2008 R2) และฟีเจอร์ AppLocker
 ที่มา : https://www.varietypc.net/webboard/?topic=636.0

ข้อ 3. เราสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ด้วยวิธีการใดบ้าง (เปิดโปรแกรม อย่างไร)

     เราสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้หลายวิธีดังนี้
  1. เรียกผ่านทางไอคอนบนเดสก์ทอป  โดยการดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนนั้น ๆ
  2.  เรียกผ่านทางปุ่ม Start
    1.  คลิ๊กที่ปุ่ม     บนแถบงาน  หรือ กดปุ่ม  Ctrl + ESC จะปรากฎโปรแกรม
         ต่าง ๆ ให้เลือกใช้งาน
    2.  คลิ๊กที่ชื่อโปรแกรมที่ต้องการ
  3. การเรียกโปรแกรมใช้งานผ่านคำสั่ง Run
       ตามปกติโดยส่วนใหญ่แล้ว การเรียกโปรแกรมใช้งานทั่วไปมักจะเรียกผ่านเมนู หรือผ่านไอคอนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เราสามารถเรียกโปรแกรมใช้งานผ่านคำสั่ง Run ก็ได้ตัวอย่างเช่น หากต้องการเรียกใช้โปรแกรม Notepad ผ่านคำสั่ง Run
  4. การค้นหาโปรแกรมใช้งานผ่าน ปุ่ม Start (ตั้งแต่ Windows7)แล้วพิมพ์ชื่อโปรแกรมที่ต้องการระบบจะค้นหาโปรแกรมต่างๆขึ้นมา แล้วเราก็คลิ๊กที่ชื่อโปรแกรมนั้นๆ ได้เลย
ที่มา: https://sites.google.com/site/rabbpdibatikar1/kar-reiyk-porkaerm-chi-ngan

ข้อ 4. คุณสมบัติ Aero Peek มีลักษณะอย่างไร จงอธิบาย


ข้อ 5. คุณสมบัติ Aero Snap มีลักษณะอย่างไร จงอธิบาย


ข้อ 6. เราสามารถปิดคอมพิวเตอร์ได้ด้วยวิธีการใดบ้าง จงอธิบาย

องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล

  การสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบ 5 อย่าง (ดังรูป) ได้แก่


      1. ผู้ส่ง (Sender) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร (Message) เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูลมีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล เช่น ผู้พูด โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
      2. ผู้รับ (Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาให้ เช่น ผู้ฟัง เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
      3. สื่อกลาง (Medium) หรือตัวกลาง เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สื่อส่งข้อมูลอาจเป็นสายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล สายใยแก้วนำแสง หรือคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น เลเซอร์ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุภาคพื้นดิน หรือคลื่นวิทยุผ่านดาวเทียม
      4. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกว่า สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้
         4.1 ข้อความ (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น
         4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็นเลขฐานสองโดยตรง
         4.3 รูปภาพ (Images) ข้อมูลของรูปภาพจะแทนด้วยจุดสีเรียงกันไปตามขนาดของรูปภาพ
         4.4 เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงจะแตกต่างจากข้อความ ตัวเลข และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็นสัญญาณต่อเนื่องกันไป
         4.5 วิดีโอ (Video) ใช้แสดงภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดจากการรวมกันของรูปภาพหลาย ๆ รูป
      5. โปรโตคอล (Protocol) คือ วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่ง สามารถเข้าใจกันหรือคุยกันรู้เรื่อง โดยทั้งสองฝั่งทั้งผู้รับและผู้ส่งได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ในคอมพิวเตอร์โปรโตคอลอยู่ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงาน ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น X.25, SDLC, HDLC, และ TCP/IP เป็นต้น

http://www.ks.ac.th/kroorung/images/p-01.jpg 
ที่มา : http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_datacom2.htm